เทศน์เช้า วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมะเนาะ เวลาฟังธรรมะนะ ธรรมะคือสัจจะ คือสัจจะความจริง หัวใจหัวใจมันต้องการความจริง ถ้าความจริงอันนั้นแล้วกิเลสมันไม่มีเหตุผลโต้แย้ง ถ้าเราสมมุติบัญญัติกิเลสมันโต้แย้งๆทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาถ้าเราประพฤติปฏิบัติสัจจะความจริงเข้าไปถึงหัวใจแล้วกิเลสมันโต้แย้งไม่ได้ ถ้ากิเลสมันโต้แย้งไม่ได้มันต้องยอมรับความจริงอันนั้น
เวลาเราพุทโธๆ พวกเราบอกว่าเวลาพุทโธขึ้นมามันไม่มีปัญญาถ้าปัญญาก็ต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญไป พุทโธนี้เป็นคำบริกรรมไง พุทโธๆแต่เวลาพุทโธพุทธานุสติ เป็นพุทธานุสติ ทุกคนเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันโต้แย้งไม่ได้หรอก มันโต้แย้งไม่ได้ แต่มันใช้เล่ห์เหลี่ยมของมันให้เราเบื่อหน่าย ให้เราไม่อยากกระทำไง เราอยากกระทำสิ่งที่กิเลสมันพอใจไงอยากมั่งอยากมีอยากร่ำอยากรวยไง
อยากมั่งอยากมี อยากร่ำอยากรวยโดยที่ถ้ามันเป็นธรรมาภิบาล ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะคนเราสร้างบุญกุศลมา สิ่งนั้นมันเป็นความจริงขึ้นมา เราทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จทั้งนั้นน่ะ คนเราไม่ได้สร้างบุญกุศลมา มันขาดตกบกพร่องของมันไปอันนั้นคือเป็นสัจจะความจริง สัจจะความจริงในเรื่องของเวรของกรรม
แต่เวลาเราอยากร่ำอยากรวยกิเลสตัณหาความทะยานอยากเอามาหลอกทั้งนั้นน่ะแต่ถ้าเราพุทโธๆใครร่ำใครรวยล่ะมันไม่มีใครร่ำใครรวย มันเป็นสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริง ถ้าจิตมันเสวยความจริงอันนั้น ถ้ามันสงบลงมาได้มันก็สงบของมัน ถ้าสงบเข้ามาแล้วมันจะเห็นคุณค่าของชีวิตนี้ไง
ชีวิตนี้มีคุณค่ามากนะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาในพระไตรปิฎก เวลาท่านไปห้ามญาติของท่าน ญาติข้างพ่อกับญาติข้างแม่เขาจะแย่งน้ำทำนากันไง เวลาท่านถามถามญาติทั้งสองข้างว่าน้ำกับชีวิตอันไหนมีค่ากว่ากันไง ท่านบอกว่าชีวิตนี้มีค่ากว่าน้ำ
เพราะน้ำเขาจะแย่งน้ำทำนากันไง ถ้าไม่มีอาหาร ชีวิตนี้ก็อยู่ไม่ได้ แต่ชีวิตกับน้ำ อันไหนมีค่ากว่ากันไง ท่านบอกว่าชีวิตนี้มีค่ากว่าน้ำ ถ้ามีสติปัญญา สติปัญญายับยั้งได้ก็แยกย้ายกลับกันไปครั้งที่ ๒ ยกทัพกันมาอีกแล้ว แย่งน้ำทำนากันเพราะมันไม่มี กษัตริย์เป็นฝ่ายปกครอง ลูกบ้านเดือดร้อน ทำอย่างไรล่ะ ยกทัพมาๆ พระพุทธเจ้าก็มาห้ามเป็นครั้งที่๒ พอห้ามครั้งที่ ๒ก็ยังแยกทัพกลับไป
พระพุทธเจ้าห้ามญาติ ปางห้ามญาติๆ ห้ามญาติเพราะอะไร เพราะเวลามันบีบคั้นขึ้นมา ด้วยสติปัญญาด้วยความยับยั้งสภาวะแวดล้อมไงเป็นผู้นำๆ เห็นประชาชนเขาเดือดร้อน มันทุกข์มันยากไปหมด มันก็อยากจะปลดทุกข์อันนั้นไง ถ้าปลดทุกข์อันนั้นก็จะเอาน้ำมาทำนาๆ เพื่อมีอาหารเพื่อยังชีพมันต่อไปไง พอครั้งที่ ๓ นะ ท่านบอกมันเป็นเรื่องของกรรม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้าม ๒ ครั้งครั้งที่ ๓ ญาติข้างพ่อและญาติข้างแม่ยกทัพเข้าประหัตประหารกันรบราฆ่าฟันตายกันเป็นเบือเลยความคิด ความต้องการ นี่ไง เวลาเราทุกข์เรายากเราทุกข์ยากทั้งนั้นน่ะ เราทุกข์เรายากเรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหนถ้ามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีสติปัญญายับยั้งได้ยับยั้งได้ ชีวิตนี้มีค่าๆ ชีวิตนี้มีค่าเพราะอะไร เพราะดำรงชีวิตอยู่หายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธมันยังมีบุญกุศลอยู่นะ ถ้ามีบุญกุศลอยู่เวลาถ้ามันถึงที่หมดอายุขัยไปตายไป ยมบาลถามว่าเคยเห็นธรรมะไหม
ไม่รู้จักธรรมะเป็นอย่างไร
เคยเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บคนตายไหม
เห็น
นั่นแหละสัจธรรม ถ้ามันเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วมีสัจจะ มีความคิดขึ้นมา นั่นแหละธรรมมันมาเตือนแล้ว สัจธรรมมันมาเตือนเราๆ
เราหาอยู่หากิน หาอยู่หากินเพื่อดำรงชีพ ในเมื่อเกิดในวัฏฏะอาหาร ๔ อาหาร ๔ในวัฏฏะ คนเกิดภพชาติใดก็แล้วแต่ต้องมีอาหารต้องมีสิ่งที่ยังชีพยังชีพขึ้นมาเพื่ออะไร ยังชีพไว้ทำอะไรล่ะ คนที่เขาเป็นผู้บริหารจัดการยังชีพไว้เพื่อปกครอง เราเป็นกรรมกรคนเข็ญใจ เราก็ยังชีพไว้เพื่อหาอยู่หากินไง ถ้าคนติดคุกติดตาราง เขาก็ยังชีพไว้รอวันพ้นจากคุกไง นี่ไง เขายังชีพไว้ๆ ชีวิตมันมีค่าไง มีค่าเพราะมีความหวังไงความหวังว่าเราจะพ้นจากทุกข์ ความหวังจะทำคุณงามความดีไง ถึงว่ามีค่าๆ ไง
ดูสิ ดูทางโลกเขามีความสุขความรื่นเริงกันทำไมมีค่าๆ ทำไมไม่แสวงหาความสุขอย่างนั้น ทำไมเสียสละความสุขอย่างนั้นมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระทุกข์ๆ ยากๆอยากได้อะไรก็ไม่ได้ตามความปรารถนา ไม่เคยได้อะไรตามความปรารถนาเลยอยากได้ร้อนก็ได้เย็น อยากได้เย็นก็ได้ร้อน อยากได้อะไร ไม่ได้อะไรเลย เพราะอะไรเพราะเรายังขวนขวายอยู่ไง
เราเห็นภัยในวัฏสงสารใช่ไหม เรามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระบวชมาทำไมบวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้าคนมีสติปัญญาบวชมาเพื่อจะเผชิญกับความจริงแล้วความจริงมันเกิดขึ้นหรือยังล่ะความจริงนี่ความจริงของโลกไงความจริงของโลกสมมุติบัญญัติไงมันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจังเพราะอะไร มันเป็นอนิจจังเพราะมันเปลี่ยนแปลงไงทุกข์มันคืออะไรทุกข์มันทนไว้ไม่ได้มันอยากได้ดิบได้ดีของมันไง แล้วเป็นอนัตตาอนัตตา ไขว่คว้าสิ่งนี้ไว้ ไม่ได้สิ่งใดเลย
แต่ถ้าเวลาเราทำความสงบของใจเข้ามาพอใจสงบแล้วเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้ามันพิจารณาของมัน ถ้ามันเป็นอนัตตาจริงๆ พระไตรลักษณ์ พระไตรลักษณ์มีคนรู้คนเห็นของมัน จิตนี้สงบระงับแล้วมันรู้มันเห็นของมันถ้ามันรู้มันเห็น
สิ่งที่เข้าใจผิด อวิชชา สิ่งที่เข้าใจผิด ความพอใจของเราอยากได้ปรารถนาตามแรงปรารถนาของเรา ถ้ามันมีเหตุมีผลของมันตามความเป็นจริงขึ้นมา ด้วยบุญกุศล มันก็เป็นความจริงอย่างนั้น
ถ้ามันมีบาปอกุศล มันมีแต่ความขาดตกบกพร่องขึ้นมา มันขาดตกบกพร่องฟังสิ คำว่า "ขาดตกบกพร่อง" มันจะสมบูรณ์ได้อย่างไร มันสมบูรณ์ไม่ได้ มันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ ถ้ามันขาดตกบกพร่องขึ้นมา นั่นล่ะเวรกรรม
ถ้าเวรกรรมเรื่องเวรเรื่องกรรมเรื่องการกระทำกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไงพันธุกรรมของจิตแต่ละคนไม่เท่ากันไง จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกันไงความรักความชอบของคนไม่เหมือนกันไง ความทิฏฐิมานะของคนก็ไม่เหมือนกันไง สิ่งนี้มันทาง ๒ ส่วนที่มันพยายามชักจิตใจให้มันหลงใหลไปไง
ถ้าเราพุทโธๆ ของเรา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาทางของเราๆ ไงถ้าทางของเราทางของเราเพราะอะไร เพราะเราเป็นสัจจะความจริงไงสัจจะความจริงเพราะจิตเข้าไปประสบ จิตเข้าไปเห็นไง มันเป็นประสบการณ์ของจิตไง เพราะจิตมีคำบริกรรมไง จิตมันมีปัญญาอบรมสมาธิไง ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ มันมีการกระทำของมันแล้วมันสงบเข้ามาน้ำนิ่งแต่ไหล มันมีความสุขมีความสงบของมัน มันมีความสุขความสงบของมัน
นี่ไง สิ่งที่ว่าโลกนี้เป็นอนิจจังสิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตาอนัตตาก็ปากเปียกปากแฉะ เป็นวิชาการไป ไม่มีใครรู้ใครเห็นตามความเป็นจริง จิตสงบแล้วๆ มันเห็นไตรลักษณ์ เห็นอนัตตาตามความเป็นจริงของมัน มันถึงเป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโก มันถึงเป็นสัจจะความจริง นี่ไง สิ่งที่เป็นจริงๆ ขึ้นมา นี่ธรรมะ หัวใจต้องการความจริงต้องการสัจจะ แล้วสัจจะเป็นสัจจะที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจิตดวงนั้นเสียเอง ไม่ใช่สัจจะจากกระแส สัจจะจากความเชื่อ แต่ความเชื่อนี้เป็นการศึกษาศึกษาทางโลกโลกเราก็ต้องศึกษา
พระบวชมาบวชมาก็จะประพฤติปฏิบัติพอบวชมาแล้ว เริ่มต้นเราก็ต้องสะสมของเรา อำนาจวาสนาบารมีของคนเป็นพระผู้น้อยเป็นพระผู้น้อยครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระผู้ใหญ่มา ท่านเป็นพระผู้น้อยมาทั้งนั้นน่ะ เป็นพระผู้น้อยมามันต้องถือนิสัยครูบาอาจารย์มามันได้ฝึก ได้อบรมได้บ่มเพาะมาความที่ได้อบรมได้บ่มเพาะมา ความอบรมบ่มเพาะนั้นน่ะ
ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกหลวงตา"มหา มหามีพรรษามากแล้วไม่ต้องเข้ามานะ ให้พระเล็กเณรน้อยมันเข้ามา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไปไง" ข้อวัตรติดหัวใจมันไป
ดูสิ เราอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งที่ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาท่านสมความปรารถนาในใจของท่านแล้ว พอสมความปรารถนาในใจของท่านแล้วท่านไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ เลย มีแต่คนเคารพบูชา เอาสิ่งที่มาถวายท่านท่านไม่ต้องการสิ่งใดเลย
แต่เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ เวลาผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก เราอยากได้ แต่ไม่มีใครจะให้ แต่เวลาเขาให้ เขาให้แต่ครูบาอาจารย์ เราได้อุปัฏฐากครูบาอาจารย์มา เราฝึกหัดอันนั้นมา ได้ข้อวัตรปฏิบัติอันนั้นมา ติดหัวใจเรามา ติดหัวใจมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ
บวชมาๆดูสิ ทางฆราวาสเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องขึ้นมาแล้ว หัวใจผู้รับผิดชอบครอบครัว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกการมีครอบครัวเหมือนวิดน้ำทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ความสุขในการครองเรือนไงวิดทะเลทั้งทะเลเลยนะ อาบเหงื่อต่างน้ำทำงาน อู๋ย! เต็มที่เลย เพื่อความสงบระงับเพื่อความสุขในครอบครัว ได้ปลาเล็กๆ มาตัวหนึ่งแต่วิดน้ำทั้งทะเลเลย นี่เป็นคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ได้แค่พูด ไปเปิดดูในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าเวลาพูดถึงการครองเรือนๆ มันทุกข์มันยากๆ ทุกข์ยากมหาศาลเลย
โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีสิ่งใดเต็มเลย โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจแล้วเราก็แสวงหาเพื่อจะปรนเปรอมันให้มันเต็มให้ได้ๆ แต่เวลาเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราสละทิ้งมันมา เวลามาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระก็มีธรรมวินัยแล้ว จะทำไร่ไถนาไม่ได้เพราะพระจะดำรงชีวิตแบบคฤหัสถ์ไม่ได้ พระดำรงชีพกับทางโลกต้องแตกต่างกัน ความแตกต่างกันคือโลกเขาดำรงชีพอย่างไร พระห้ามดำรงชีพอย่างนั้นฉะนั้น เวลาโลกเขาทำไร่ทำนากันพระทำไม่ได้ เพราะพระห้ามดำรงชีพแบบฆราวาส ทีนี้ดำรงชีพของเราดำรงชีพอย่างไรล่ะในเมื่อเราดำรงชีพอย่างเขาไม่ได้แล้วเราจะมีชีพอย่างไร เราจะมีชีวิตได้อย่างไรชีวิตนี้จะรักษาไว้อย่างไรล่ะ
ชีวิตนี้ก็เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งไง เช้าก็ออกบิณฑบาตไป ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมาพระที่ประพฤติปฏิบัติชอบบิณฑบาตไปก็มีคนใส่บาตรให้ฉันถ้าพระปฏิบัติเราขาดตกบกพร่องขึ้นไป ใครมันจะใส่บาตรให้ฉันล่ะนี่ไง ธรรมวินัยวินัย ศีลก็มาตรวจสอบพระ ถ้าพระตรวจสอบ ถ้าพระมีศีลมีธรรม ไปบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพไว้ทำไม ก็เลี้ยงชีพไว้เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาไงเลี้ยงชีพไว้ค้นหาหัวใจของตนไง ถ้าค้นหาหัวใจของตนนะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ความสงบ
ดูสิ เราเกิดมา คนนู้นคนนี้ รักคนนี้ เกลียดคนนี้แล้วก็ว่าตัวเองปรารถนาดีกับตนเองที่สุด แต่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักเห็นหัวใจของตนถ้าจิตสงบเข้ามาโอ้โฮ! โอ้โฮ! จิตเป็นอย่างนี้เองปฏิสนธิจิต ฐีติจิต
มนุษย์ถ้ามีจิต ถ้ายังมีหัวใจอยู่ มนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิต ถ้าวิญญาณนี้ออกจากร่างไป มนุษย์เป็นสิ่งไม่มีชีวิต ชีวิตมีค่าขนาดไหน ถ้าจิตวิญญาณออกจากร่างไปร่างกายนี้ไม่มีชีวิตแล้วเวลาเราทำหน้าที่การงานทำมาเลี้ยงร่างกายนี้แต่การกระทำไปถ้ายังมีพลังงานอยู่มีพลังงานคือมีจิตอยู่ในร่างกายนี้ มีความอบอุ่น มีธาตุไฟ มันยังเคลื่อนไหวของมันได้ ถ้าจิตนี้ออกจากร่างนี้ไปแล้วธาตุไฟออกจากร่างนี้ไป ร่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต นี่เวลาสัจจะความจริงมันเป็นแบบนั้น
แต่ในปัจจุบันนี้ถ้าเวลาคนตายไปแล้วยมบาลถามว่าเธอเห็นธรรมะไหมๆเห็นคนเกิด คนแก่คนเจ็บ คนตายไงคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันเป็นการเตือนใจเราตลอดเวลา ถ้ามันเตือนใจเราตลอดเวลา ในปัจจุบันนี้ถ้าเรามีสติปัญญา ทำไมเราไม่ทำล่ะ ถ้าเราทำของเรา เราฝึกหัดจิตของเรา
โลก โลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินเพื่อหาอยู่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง พระเรา สมบัติของพระหลวงตาท่านสอนประจำ สมบัติของพระคือคุณธรรมสมบัติของพระคือศีลคือธรรม ถ้ามันมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ มันต้องฝึกตรงนี้ หน้าที่ของพระไง
เวลาบอกพระห้ามดำรงชีพแบบฆราวาสฆราวาสเขาอาบเหงื่อต่างน้ำกันเขาทำหน้าที่การงานของเขา เขาทำไร่ไถนาของเขาพระห้ามทำแบบนั้น แล้วพระดำรงชีพอย่างไรล่ะ พระดำรงชีพอย่างไร
ดูสิ ฆราวาสเขา เขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาทำหน้าที่การงานของเขา เขาได้ทรัพย์สมบัติของเขา เขาก็ส่งต่อในครอบครัวของเขาในชาติตระกูลของเขา ในชาติตระกูลของเขามั่นคงของเขา เขามีทรัพย์สมบัติของเขาเป็นมรดกตกทอดให้แก่ลูกแก่หลานไป
พระ ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์ธัมมจักฯพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เทศน์ต่อไปจนพระปัญจวัคคีย์เป็นพระโสดาบันทั้งหมด เทศน์อนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาไปเทศน์ยสะ ไปเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้องไง พระอรหันต์๑๒๕๐ องค์ นี่หน้าที่ของพระ ถ้าพระทำขึ้นมาอย่างนี้ นี่งานของพระ นี่สมบัติของพระ ถ้าสมบัติของพระ สมบัติของพระมันอยู่ในใจของพระ ถ้าพระปฏิบัติขึ้นมา
สิ่งที่เราเลี้ยงชีพๆ เลี้ยงชีพเลี้ยงปากเหมือนกัน ดูสิ เวลาจิตนี้ออกจากร่างนี้ไปร่างกายนี้ไม่มีชีวิตสิ่งไม่มีชีวิตร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันก็ท่อนฟืน นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคุณธรรมๆ มันอยู่ในหัวใจนั้นไง
เวลาฆราวาสของเขาเขาทำบุญกุศลของเขาเพื่ออำนาจวาสนาของเขา เขาตัดแต่งพันธุกรรมทางจิตของเขาให้จิตของเขาคิดแต่ดีๆ เรามีลูกมีหลานขึ้นมาก็อยากให้ลูกหลานเราเป็นคนมีปัญญา คนคิดดีคิดดีก็พันธุกรรมของมัน พันธุกรรมของมัน มันตัดแต่งของมันไง มันตัดแต่งของมันด้วยศีล สมาธิ ปัญญาไง ถ้าจิตมันสงบแล้วใช้ปัญญาฝึกหัดใจของตัวเอง
ตัวเอง ดูสิถ้ามันเข้าไปเห็นใจของตน เห็นมรรคของตนแล้วมันจะรู้เลย มันจะเห็นเลยสิ่งที่มันทำให้เดือดร้อน ไม่มีใครทำให้เดือดร้อนเลย ตัวเองทำให้ตัวเองเดือดร้อนทั้งนั้นน่ะ ถ้าเห็นตัวเอง ตัวเองทำให้ตัวเองเดือดร้อนแล้วมันมีสติมีปัญญาขึ้นมามันก็เริ่มคัดแยก มันมีภาวนามยปัญญามันมีธรรมจักรขึ้นมา ถ้ามีธรรมจักรขึ้นมา มันสร้างคุณธรรมขึ้นมาในใจ แล้วสร้างคุณธรรมในใจขึ้นมา สิ่งที่มันจะเข้ามาเดือดร้อน ที่มันจะไปกว้านเอาฟืนเอาไฟเข้ามาเผาตนเอง มันจะเข้ามาได้อย่างไรล่ะ
มนุษย์เกิดมา มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เกิดมาก็มีสังคม ในเมื่อมีสังคม สังคมก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันการพึ่งพาอาศัยกันทางโลก เวลาบวชเป็นพระขึ้นมา เป็นสังฆะ เป็นสงฆ์สงฆ์ก็พึ่งพาอาศัยกัน ขอนิสัยครูบาอาจารย์ นิสัยครูบาอาจารย์ท่านชักท่านนำขึ้นมาเพื่อดึงหัวใจให้สูงขึ้นมา เราบวชมาเราบวชมาเราก็ประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าหัวใจมันพัฒนาขึ้นไปๆมันพัฒนาของมันขึ้นไป นี่ไง บริษัท๔ ไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ นะภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกา นี่ภิกษุ ภิกษุณี เราเป็นอุบาสกอุบาสิกาพระพุทธเจ้าฝากไว้ได้มรดกไว้ ได้พินัยกรรมไว้ แล้วหาสมบัติตนเองไม่เจอ
สมบัติตัวเองก็พุทธะไงความรู้สึกอันนั้นไงหัวใจนั้นไง หัวใจของเรา พุทโธ ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานน่ะถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจะเบิกบานได้ถ้ามีคุณธรรมมันก็ชื่นใจ มันมีคุณธรรมขึ้นมา มันมีสติปัญญาขึ้นมา เราอบอุ่น เราเห็นคุณค่าของชีวิต แต่เวลากิเลสมันเบียดเบียน มารมันเบียดเบียนชีวิตมีแต่ความปวดร้าว ชีวิตมีแต่น้ำตา ชีวิตมีแต่ความทุกข์ นั่นน่ะเวลากิเลสมันเบียดเบียน
แล้วเรามีสติปัญญา เราแยกแยะของเราขึ้นมา เพราะเรามีชีวิตขึ้นมาแล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงสภาวะของสังคมสภาวะเราอยู่อาศัย ทางฆราวาสให้มีศีลมีทานกันมีศีลมีทานคือจิตใจเป็นสาธารณะ จิตใจที่มีน้ำใจต่อกันสังคมก็ร่มเย็นเป็นสุข ใครมีน้ำใจต่อกัน เขาจะมีบารมี คนจะไว้วางใจ
พระ พระบวชมาแล้วมีข้อวัตรปฏิบัติ เป็นสังฆะ สังฆะดูแลกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเธอจงอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด ภิกษุไข้ แล้วถ้าอุปัฏฐากภิกษุไข้ภิกษุไข้นั้นก็ต้องเป็นภิกษุที่อุปัฏฐากได้ง่ายอยู่ในข้อวัตร ไม่เรียกร้องจนเกินไปไม่งอแง ไม่งอแงไม่เอาแต่ใจ ถ้าเอาแต่ใจ ไม่ต้องไปดูแลมัน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เข้มแข็งให้เข้มแข็ง
ดูสิ เด็กน้อยมันร้องไห้กันร้องไห้คือเด็กน้อยเด็กที่มันเอาแต่ใจของมัน มันยังเด็กน้อย เราต้องอายุ๒๐ ขึ้นไปแล้วถึงบวชเป็นพระได้อายุ ๒๐ ไม่มีสติปัญญาใช่ไหม การเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหมร่างกายนี้ชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดาไงถ้ามันธรรมดาขึ้นไป เราก็รักษามันสิเราก็ดูแลมันสิ เราจะพาเรือลำนี้เข้าฝั่งไง
เราเกิดมาเรามีเรือมาคนละลำนะ เราได้ร่างกายมาคนละร่างกาย ร่างกายเหมือนเรือลำหนึ่งเรือของใครมันชำรุดเสียหายก็ปะผุสิ ปะผุไม่ให้น้ำเข้า ปะผุ แล้วพยายามพาเรือของตนให้เข้าฝั่งให้ได้ ถ้ามันพาเข้าฝั่งได้ เรามีคุณธรรมในใจของเรา
ถ้ามีดวงตาเห็นธรรม เหมือนกับเราอยู่กลางทะเลแล้วเราว่ายเข้าฝั่ง ถ้าตีนของเราแตะพื้นเมื่อไหร่แตะโคลน มันไม่ต้องว่ายแล้ว มันจะเดินขึ้นฝั่งได้แล้วแต่ถ้าคนมันยังไม่ถึงฝั่งนะ มันผลของวัฏฏะ มันเป็นเหยื่อของพวกสัตว์น้ำ มันเป็นเหยื่อเห็นไหม ผลของวัฏฏะๆ แต่ถ้าเราทำของเราประพฤติปฏิบัติของเราเป็นความจริงของเรา เราทำของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา นี่ความจริง จิตใจมันต้องการความจริงอย่างนี้ ถ้ามันความจริง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้
ฟังธรรมๆฟังธรรมจากครูบาอาจารย์นะ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันโต้แย้งไม่ได้เลย แต่ถ้ายังฟังมา นี่เขาเล่าว่า เขาเล่าว่ามันยังแถได้ไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ นะ ความจริงมันต้องเป็นความจริงสัมมาทิฏฐิ ถ้าเป็นความจริงแบบมิจฉา ความจริงแบบเห็นผิด สมาธิหัวตอ สมาธิที่มันเป็นมิจฉา ไอ้นั่นก็พากันออกนอกลู่นอกทาง
แต่ในการประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องคัดแยก มีถูกมีผิดเป็นธรรมดาคนเราทำมันก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็ชักนำให้เราผิดพลาดไปอยู่แล้วเราก็มีสติปัญญายับยั้งตรวจสอบๆยิ่งมีครูบาอาจารย์ด้วย ครูบาอาจารย์ท่านดูแลเราอยู่แล้ว นี่ไง จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง
ใจที่สูงกว่าท่านอยากจะชักนำใจที่ต่ำกว่าขึ้นมาให้เป็นศาสนทายาท ให้เป็นทายาทโดยธรรมถ้ามันมีธรรม มันเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรถ้าร่มโพธิ์ร่มไทรนกกามันจะอาศัยมันเป็นประโยชน์ทั้งนั้น เป็นประโยชน์กับร่มโพธิ์ร่มไทรต้นนั้นเอง เป็นกับหัวใจดวงนั้นเองพุทธะดวงนั้นมันสว่างโพลงในใจอันนั้นเอง แล้วมันจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกับสังคม นี่ไงแล้วครูบาอาจารย์จะไม่มีน้ำใจอย่างนี้หรือ
แต่กิเลสในใจของลูกศิษย์ลูกหา กิเลสของคนทั่วไปมันดีดดิ้นเพราะกิเลสมันแก้ยาก แล้วยิ่งคนอื่นชี้มันยิ่งไม่ยอมรับแต่ถ้ามันรู้มันเห็นเอง มันถึงจะยอมรับ ถ้ายอมรับอันนั้นแล้วแก้ไขอันนั้น คนถ้าสำนึกผิดนี่ไง เวลาอริยประเพณี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่นชมมากนะ คนที่สำนึกผิดแล้วยอมรับว่าผิด เราปลงอาบัติกันไง สาธุ สุฏฺฐุข้าพเจ้าผิดพลาดแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ทำอีก...ทำอีกแล้ว
ข้าพเจ้าจะไม่ทำ ข้าพเจ้าจะไม่ทำ...ทำอีกแล้วนี่ไง มันทนสิ่งเร้าของใจไม่ไหวไงกิเลสนี้ร้ายนักๆเราแก้ไขของเรา
ใจนี้มันต้องการความจริงแล้วมันโต้แย้งไม่ได้ มันจะยอมจำนนกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง